แลนด์โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ ปลั๊ก-อิน ไฮบริด รุ่นใหม่และประหยัด

นับย้อนไปช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงนั้น กองทัพของอังกฤษมีความต้องการรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่มีสมรรถนะสูงมาแทนที่รถจี๊ปของอเมริกาที่พวงมาลัยอยู่ด้านซ้าย ซึ่งไม่เหมาะกับประเทศที่ขับรถชิดซ้ายอย่างอังกฤษ แลนด์ โรเวอร์จึงได้พัฒนารถขับเคลื่อน 4 ล้อ รุ่น ดีเฟนเดอร์ ขึ้นมาเพื่อสองความต้องการของกองทัพและในที่สุด ดีเฟนเดอร์ ก็ได้เป็นส่วนหนึ่งที่นำชัยชนะมาให้กับฝ่ายอังกฤษในหลาย ๆสมรภูมิ ปัจจุบันดีเฟนเดอร์ยังคงได้รับความไว้วางใจให้เป็นพาหนะกองทัพของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

สำหรับในหน่วยงานของทางราชการอื่นๆ เราจะเห็นดีเฟนเดอร์เข้าไปมีส่วนเป็นพาหนะมาช้านานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกรมป่าไม้, หน่วยงานช่วยเหลือผู้ประสบภัย, สถานีอนามัยในที่ทุรกันดาร หรือแม้แต่ในการแข่นขันแรลลี่รายการใหญ่ที่ต้องขับรถผ่านเส้นทางที่ยากลำบากแบบสุด ๆ

ในประเทศไทยปัจจุบันบริษัท อินช์เคป (ประเทศไทย) จำกัดได้รับสิทธิให้เป็นผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Jaguar และ Land Rover อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย โดยรถแลนด์โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ ที่นำเข้ามาจำหน่ายมีทั้งหมด 5 รุ่น คือ รุ่น 90 2.0AWD SE PLUS แบบ 3 ประตู ราคา 7,599,000 บาท รุ่น 90 3.0 AWDSE PLUS แบบ 3 ประตู ราคา 7,999,000 บาท , รุ่น 110 2.0 AWD SE PLUS แบบ 5 ประตูราคา 7,999,000 บาท , รุ่น 110 3.0 AWD SE PLUS แบบ 5 ประตู ราคา 8,699,000 บาท และรุ่น 110 2.0 Plug-In HybridAWD SE PLUS แบบ 5 ประตู ซึ่งเราจะมาลองขับกันในวันนี้ ราคา 6,999,000 บาท

นับตั้งแต่ดีเฟนเดอร์รุ่นแรกเปิดในปี1984 ตัวรถรุ่นนี้ก็มีจุดเด่นที่ทุกคนจดจำได้ดี คือ โครงสร้างตัวถังทีทำจากอลูมิเนียมซึ่งทำให้หายห่วงได้ว่าจะอีกสักกี่ปีก็ไม่ต้องกลัวว่าตัวถังจะผุเพราะสนิมกินจนเป็นที่เล่าขานกันว่า 2 ใน 3 ของดิเฟนเดอร์ที่ถูกขายไปยังคงสามารถใช้ได้จนถึงปัจจุบัน สำหรับรูปทรงโดยรวม ๆ ของ รุ่น 110 2.0 Plug-In Hybrid AWD SE PLUS นั้นก็จะเหมือนกับรุ่น 110 2.0 AWDSE PLUS ตัวปกติ เพียงแต่จะมีจุดที่แตกต่างกันตรงที่ฝาเปิดถังน้ำมันด้านข้างตัวถังนั้นเหมือจะมีมาให้ทั้งสองด้านเลย ซึ่งจริง ๆแล้วฝาปิดถังน้ำมันจะอยู่ทางด้านขวามือ ส่วนฝาปิดทางด้านซ้ายมือนั้นจะใช้สำหรับการต่อกับสายชาร์จของระบบ Plug-In Hybrid

ส่วนการออกแบบตัวรถนั้นยังคงรักษาเอกลักษณ์เดิมๆ ไว้เหมือนเมื่อ 74 ปีก่อน คือจะเป็นรถตรวจการที่เรียกว่าทรง 2 กล้อง แต่จะผิดไปจากดีเฟนเดอร์รุ่นแรกบ้างก็ตรงกระจังหน้าที่ยื่นออกมาเสมอกับแก้มล้อทั้งสองข้างและมีการปรับเส้นสายให้มีความโค้งมนในส่วนต่าง ๆ ซึ่งทำให้ตัวรถดูทันสมัยขึ้น นอกจากนี้ในส่วนของตัวถังภายนอกดีเฟนเดอร์ 110 2.0 Plug-In Hybrid AWD SE PLUS คันที่นำมาลองขับในครั้งนี้ยังได้รับการตกแต่งด้วยชุดแต่งสไตล์ออฟโรดอีกหลายรายการมูลค่า 383,190 บาท จึงทำให้ตัวรถดูดุดันขึ้นอีกเยอะเลย

การเข้าออกจากห้องโดยสารสามารถทำได้ง่ายแม้จะเป็นรถสไตล์ออฟโรดที่สามารถปรับความสูงใต้ท้องได้สูงสุดถึง 291 มม. เพราะใต้แนวประตูจะติดบันไดให้ใช้เหยียบเวลาขึ้นลงอีกทั้งตัวประตูทั้ง 4 บานก็มีขนาดใหญ่และเปิดได้มุมกว้างมาก เมื่อเข้าไปประจำต่ำแหน่งคนขับคุณจะรู้สึกได้เลยว่าตัวเบาะคู่หน้าถูกออกแบบมาให้อยู่ตำแหน่งที่สูง ช่วยให้ผู้ขับขี่เห็นมุมมองโดยรอบได้กว้างไกลเป็นอย่างดี แต่ที่ชอบที่สุดคือตัวกระจกมองหลัง ที่มีฟังก์ชั่นแสดงภาพผ่านกล้องมองหลังมุมสูงได้ด้วยทำให้มีมุมมองที่ดีขึ้นโดยไม่มีตัวผู้โดยสารแถวหลังและยางอะไหล่ที่ฝาท้ายมาบดบังสำหรับการปรับตัวเบาะคู่หน้าและพวงมาลัยเป็นแบบไฟฟ้าได้หลายทิศทางพร้อมบันทึกความจำได้มากถึง 3 รูปแบบ พวงมาลัยจะเป็นแบบ 4 ก้านพร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่นใช้ความคุมเครื่องเสียง ระบบสั่งงานด้วยเสียง และระบบควบคุมความเร็ว จอหน้าปัดบอกความเร็วเป็นจอภาพขนาด 10 นิ้ว

ตัวคอนโซลหน้าถูกออกแบบใหม่และเพิ่มความหรูหรากว่าเดิมด้วยการหุ้มหนังสีเขียวตรงพื้นผิวส่วนกลางทั้งหมด แต่ยังคงแฝงกลิ่นอายความดิบ ๆ และเน้นการใช้งานที่ทนทานตามแบบฉบับดีเฟนเดอร์ เอาไว้ อาทิ ใช้หมุดโลหะในการยึดชิ้นส่วนต่าง ๆ และมีแผ่นกันลื่นที่พื้นรถกับที่ห้องเก็บของและด้านหลังเบาะแถวที่สอง สำหรับจอภาพที่กลางคอนโซลมีขนาด 10 นิ้วควบคุมการทำงานด้วยระบบสัมผัส เสียแต่ไม่รองรับการใช้งานเป็นภาษาไทย ชุดลำโพงจาก Meridian ระบบปรับอากาศเป็นแบบตั้งอุณหภูมิแยก 3 โซน อีกระบบความปลอดภัยที่เจ๋งมาก ก็คือกล้องมองรอบคันที่สามารถแสดงภาพใต้ท้องรถส่วนหน้าได้ด้วยซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยขณะขับบนเส้นทางออฟโรด และแสดงภาพด้านหลังตรงหัวบอลลากพ่วงเพื่อเพิ่มความแม่นยำขณะจะถอยหลังเพื่อต่อกับรถพ่วง

ในส่วนของพื้นที่ของเบาะหลังเป็นแบบ 3 ที่นั่ง ที่มีขนาดของพื้นที่วางขาที่กว้างขวางกับช่วงหลังคาสูงมาก และยังมีช่องแสงที่ขอบหลังคาทั้งสองด้านเช่นเดิมซึ่งทำให้นั่งแล้วรู้สึกโปร่งสบายแม้จะไม่มีหลังคาซันรูฟบานใหญ่แบบคู่แข่ง ตัวพนักพิงหลังมีที่เท้าแขนกลางพร้อมที่วางแก้วน้ำ 2 ใบ และสามารถแยกพับได้แบบ 40/20/40 เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระ สำหรับห้องเก็บสัมภาระหลังมีม่านปิดสิ่งของที่บรรทุกมาแต่เนื่องต้องติดตั้งแบตเตอรี่สำหรับระบบ Plug-In Hybrid จึงทำให้พื้นห้องเก็บของจะนูนสูงกว่าดีเฟนเดอร์ 110 รุ่นปกตินิดหน่อย

สำหรับขุมพลังของแลนด์โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ ปล๊ักอินไฮบริด ใหม่ (New Land Rover Defender Plug-InHybrid (PHEV)) หรือ P400eจะประกอบด้วย เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบ ที่ให้กำลังม้าสูงสุด 300 แรงม้า กับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 105 กิโลวัตต์ (ที่จะรับพลังงานไฟฟ้ามาจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 19.2 kWh) โดยเมื่อทำงานร่วมกันแล้วจะมีแรงม้ารวมมากถึง 404 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 640 นิวตัน-เมตรที่ 1,500-4,400 รอบต่อนาทีคำพูดจาก ทดลองใช้ สูตรสล็อต

การส่งกำลังจะผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา พร้อมโหมดการขับ 6 รูปแบบ มีระบบ ล็อกเฟืองท้ายและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อความเร็วต่ำ สามารถทำความอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 5.6วินาที กับทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 191 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนการขับในโหมด EV จะวิ่งได้ไกลสุด 43 กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูงสุด 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ความสามารถในการลากจูงได้มากถึง 3,000 กิโลกรัมและสามารถรับน้ำหนักบนหลังคาได้ถึง 168 กิโลกรัมระหว่างขับขี่หรือ 300 กิโลกรัม เมื่ออยู่กับที่ระบบชาร์จไฟฟ้าของแลนด์โรเวอร์ดีเฟนเดอร์ ปล๊ัก อินไฮบริด จะมี 2 แบบ คือ การชาร์จด้วยไฟฟ้าแบบกระแสสลับ (AC)ที่บ้านแบบข้ามคืน ที่จะใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมงในการชาร์จให้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ หรือการชาร์จผ่านตู้ชาร์จไฟกระแสตรง (DC) ขนาด 50 กิโลวัตต์ ที่จะใช้เวลาในการชาร์จประมาณ 30 นาทีเพื่อให้ได้กำลังไฟ 80 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้แลนด์โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ปล๊ักอินไฮบริด ยังมีระบบการชาร์จไฟฟ้ากลับไปยังแบตเตอรี่ ทุก ๆ ครั้งที่รถมีการชะลอตัวหรือการเบรคอีกด้วย

แลนด์โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ ปล๊ักอินไฮบริด ใช้ระบบช่วงล่างแบบอิสระโช้คอัพถุงลม ความคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้ง 4 ล้อ ซึ่งนอกจากจะให้ความนิ่มนวลในการขับขี่แล้ว ผู้ขับยังสามารถปรับความสูง/ต่ำของตัวรถได้ด้วยสวิตช์ควมคุมทั้งที่คอนโซลกลางและในห้องเก็บของท้ายรถ โดยสามารถปรับให้สูงขึ้นจากปรกติได้ 2 ระดับ คือที่ 70 มม. และ 145 มม. ส่วนการปรับให้ต่ำลงจะทำได้ 1 ระดับคือต่ำลงจากปกติ 40 มม. ระบบเบรกจะเป็นแบบดิสก์ทั้ง 4 ล้อ พร้อมระบบช่วยเบรกหลายแบบ ล้อติดรถใช้ขนาด 20 นิ้ว กับยางแบบยางออลเทอร์เรน ขนาด 255/60R20

ในด้านสมรรถนะการขับขี่ข้อดีอยู่ตรงที่สามารถใช้งานในเมืองได้ด้วยโหมดขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า หรือ อีวีโหมดแบบ 100% เพราะเมื่อคุณชาร์จไฟเก็บไว้ในแบตเตอรี่จนเต็มคุณจะสามารถใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อขับเคลื่อนรถไปได้ไกลมากกว่า 40 กม. และด้วยความเร็วสูงสุดถึง 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดังนั้นถ้าที่ทำงานหรือสถานที่ที่คุณจะเดินทางไปกลับอยู่ในรัศมี 35-40 กม.คุณก็สามารถจะขับรถไปถึงจุดหมายได้โดยไม่ต้องใช้น้ำมันเลย

สำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วยระบบไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวนั้นเท่าที่ลองคำนวนแล้วจะตกอยู่ที่ไม่เกิน 2 บาท/กม. ส่วนการขับในเมืองด้วยระบบเครื่องยนต์นั้นจะมีอัตราสิ้นเปลื่องน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 11-12 กม/ลิตร

สำหรับการทำงานของระบบช่วงล่างในโหมดปกติออกจะนิ่มนวลไปหน่อยแต่พอปรับไปที่โหมดสปอร์ตก็จะช่วยให้มีความมั่นคงดีขึ้นสามารถยึดเกาะถนนได้ดีเยี่ยมทั้งทางตรงและทางโค้งการทำงานของเบรกที่มาพร้อมกับระบบช่วยเบรกและควบคุมการทรงตัวมีประสิทธิภาพวางใจได้เมื่อต้องเบรกอย่างกะทันหันที่ความเร็วสูงคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

สรุปโดยรวมแล้วแม้ราคาค่าตัวของแลนด์โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ ปล๊ักอินไฮบริดออกสูงไปไกลเมื่อเทียบกับบรรดาคู่แข่งขนาดเดียว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถประกอบในบ้านเราแต่จุดเด่นของรถรุ่นก็คือระบบปลั๊กอิน ที่ช่วยในเรื่องความประหยัดมากสำหรับการใช้งานในเมืองหรือระยะทางสั้นๆ กับเป็นรถที่มีพละกำลังแรงมาก และระบบขับเคลื่อนที่ยอดเยี่ยมน่าใช้ในทุกสภาพเส้นทางว่าแต่จะมีสักกี่คนที่กล้าเอารถราคา 7 ล้านไปตกระกําลําบากบนเส้นทางออฟโรด.

นับย้อนไปช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงนั้น กองทัพของอังกฤษมีความต้องการรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่มีสมรรถนะสูงมาแทนที่รถจี๊ปของอเมริกาที่พวงมาลัยอยู่ด้านซ้าย ซึ่งไม่เหมาะกับประเทศที่ขับรถชิดซ้ายอย่างอังกฤษ แลนด์ โรเวอร์จึงได้พัฒนารถขับเคลื่อน 4 ล้อ รุ่น ดีเฟนเดอร์ ขึ้นมาเพื่อ…